ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน (Fusion Reaction)
ในการเกิดปฏิกิริยาฟิวชัน นิวเคลียสของธาตุจะต้องอยู่ในสถานะไอออน ซึ่งจะต้องเอาชนะแรงผลักไฟฟ้าระหว่างอะตอม และในการหลอมรวมนิวเคลียสจะต้องอยู่ในสภาวะที่มีพลังงาน แรงดัน และอุณหภูมิสูงมากพอ สำหรับที่สภาวะบนโลกต้องให้อุณหภูมิสูงกว่า 100 ล้านองศาเซลเซียส ซึ่งในสภาวะร้อนจัดเช่นนี้จะทำให้ไอโซโทปของธาตุเบาเช่น ดิวทีเรียม (D,2H ) และทริเทียม (T,3H ) อยู่ในสถานะ "พลาสมา" ทำให้สามารถบีบอัดหลอมรวมนิวเคลียสกันได้และปลดปล่อยพลังงานออกมา ทั้งนี้ ปฏิกิริยาฟิวชันเกิดจากการรวมตัวกันของนิวเคลียสธาตุได้หลายชนิด แต่ที่ได้รับความนิยม คือ ปฏิกิริยาฟิวชันดิวเทอเรียม-ทริเทียม (DT) ซึ่งผลิตพลังงานได้มาก และเกิดปฏิกิริยาฟิวชันได้ในสภาวะอุณหภูมิที่ต่ำกว่าปฏิกิริยาฟิวชันอื่น
Fusion Energy (Credit: IAEA)
การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชัน
ฟิวชันถือเป็นแหล่งพลังงานทางธรรมชาติของดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ ในใจกลางของดวงอาทิตย์มีความกดดันจากแรงโน้มถ่วงมหาศาล โดยแรงโน้มถ่วงจะบีบอัดก๊าซไฮโดรเจนทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันที่อุณหภูมิสูงในระดับ 10 ล้านองศาเซลเซียส ขณะที่บนโลกนั้นมีความดันต่ำกว่าดวงอาทิตย์มาก ดังนั้นการทำให้เกิดปฏิกิริยาฟิวชันบนโลกจำเป็นต้องใช้อุณหภูมิสูงกว่า 100 ล้านองศาเซลเซียส ความท้าทายของเทคโนโลยีฟิวชัน คือการสร้างเงื่อนไขของการเกิดดวงอาทิตย์บนโลก และควบคุมพลังงานพลาสมาร้อนที่นำมาใช้ผลิตพลังงาน วิธีการหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์นำมาใช้เพื่อทำให้เกิดปฏิกิริยาฟิวชันบนโลกได้ คือ การกักเก็บก๊าซที่ร้อนจัด (super-heated gas) หรือ พลาสมา ให้รวมกลุ่มกันอย่างหนาแน่นด้วยสนามแม่เหล็กรูปวงแหวนซึ่งมีลักษณะเหมือนโดนัท โดยมีการวิจัยพัฒนาขึ้นในหลายรูปแบบ สำหรับอุปกรณ์กักเก็บพลาสมาในสนามแม่เหล็กรูปแบบที่นิยมใช้มากที่สุดในการผลิตพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชันคือ “Tokamak” คำว่า Tokamak มาจากคำภาษารัสเซีย: “toroidalnaja kamera magnitnaja katushka” ซึ่งหมายถึง toroidal chamber magnetic coil ถูกคิดค้นในปี 1952 โดยนักฟิสิกส์ Igor Yevgenyevich Tamm และ Andrei Sakharov โดยเครื่องปฏิกรณ์ Tokamak ทำให้เกิดปฎิกิริยาฟิวชันได้โดยการกักเก็บและบีบอัด ดิวทีเรียม และ ทริเทียม ด้วยความร้อนที่สูงมากในสนามแม่เหล็กรูปโดนัท จนก๊าซแตกตัวกลายเป็นพลาสมาและทำการควบคุมพลาสมาร้อนด้วยสนามแม่เหล็กแนว toroidal และ poloidal เพื่อทำให้เกิดพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชันไปใช้ในระบบผลิตไฟฟ้าต่อไป
จุดเด่นของพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชัน
Abundant Energy
No CO2 / Greenhouse Gas (GHG)
Accident free – No decay heat, No melt down
No long-lived radioactive waste
Limited risk of proliferation
พลาสมา คืออะไร
การให้ความร้อนพลาสมา
1. Current Heating หรือ Ohmic Heating
การทำความร้อนด้วยกระแสไฟฟ้า เกิดขึ้นเมื่อส่งกระแสไฟฟ้าผ่านพลาสมา (ที่เป็นสื่อกระแสไฟฟ้าอยู่แล้ว) ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กความเข้มสูงผ่านการเหนี่ยวนำ เมื่อกระแสไฟฟ้านี้เดินทางผ่านพลาสมา อิเล็กตรอนและไอออนจะได้รับพลังงาน เกิดจากการชนและรวมตัวกัน การชนกันของอนุภาคทำให้เกิดความต้านทานซึ่งส่งผลให้เกิดความร้อน แต่เมื่ออุณหภูมิของพลาสมาสูงขึ้น ความต้านทานและผลของความร้อนจะลดลง ความร้อนที่ถ่ายเทผ่านกระแสไฟฟ้าจะถูกจำกัดไว้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น การให้ความร้อนจากความต้านทานไฟฟ้า (Electrical resistance heating) หรือแบบโอมมิก (Ohmic heating) จึงเหมาะสำหรับการทำความร้อนช่วงเริ่มต้นการเดินเครื่องเท่านั้น เพื่อให้ได้อุณหภูมิที่สูงถึงเกณฑ์การเกิดปฏิกริยาฟิวชัน จึงต้องใช้วิธีการให้ความร้อนจากภายนอก (external heating) ร่วมด้วย สำหรับวิธีการให้ความร้อนภายนอก (external heating) ทั่วไปมี 2 วิธีได้แก่ neutral particle heating และ High-frequency electromagnetic waves heating โดยจะช่วยเสริมการทำความร้อนแบบ ohmic เพื่อทำให้พลาสมามีอุณหภูมิสูงขึ้นจนถึงเกณฑ์การเกิดปฏิกริยาฟิวชันในเครื่องปฏิกรณ์ Tokamak
2. Neutral Particle Heating หรือ Neutral Beam Injection (NBI)
3. High-frequency Electromagnetic Waves Heating
เป็นการให้ความร้อนโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูงเข้าไปให้พลังงานกับพลาสมา หลักการเดียวกันกับเตาไมโครเวฟ ที่ถ่ายเทความร้อนไปยังอาหาร โดยการนำพลังงานจากคลื่นความถี่สูงเข้าสู่พลาสมา และถ่ายโอนไปยังอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้า ซึ่งจะเพิ่มอุณหภูมิและความเร็วในการเคลื่อนที่ของอนุภาคอย่างไม่เป็นระเบียบ
Plasma heating ทั้งสามหลักการนี้ จะทำงานร่วมกันในเครื่องปฏิกรณ์ Tokamak ของโครงการ ITER เพื่อเหนี่ยวนำพลาสมาไปสู่อุณหภูมิฟิวชัน (150 ล้านองศาเซลเซียส) โดยนักวิจัยหวังว่าท้ายที่สุดจะได้สิ่งที่เรียกว่า burning plasma ซึ่งคือการที่พลังงานที่เกิดจากปฏิกิริยาฟิวชันนั้น มากเพียงพอที่จะรักษาอุณหภูมิของพลาสมาให้คงที่ เกิดปฏิกิริยาได้ต่อเนื่อง (self-sustaining) จนสามารถลด หรือ ปิดระบบการให้ความร้อนพลาสมาจากภายนอกได้
การควบคุมพลาสมาในปฏิกริยานิวเคลียร์ฟิวชัน
(Plasma confinement)
Inertial confinement fusion (ICF)
หลักการ ของ ICF
Inertial confinement fusion (ICF)
เป็นการใช้ลำแสงเลเซอร์ (Laser beams) หรือลำแสงไอออน (Ion Beam) ในการบีบอัดและให้ความร้อนลงบนพื้นผิวของเม็ดเชื้อเพลิงไฮโดรเจนพลาสมา (D-T) ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่กี่มิลลิเมตรอย่างแม่นยำ
การยิงลำแสงเลเซอร์หรือไอออนจะทำให้เม็ดเชื้อเพลิงชั้นนอกร้อนขึ้นและเกิดการระเบิดจากการบีบอัดเม็ดเชื้อเพลิง โดยพลังงานที่ปล่อยออกมาจะให้ความร้อนแก่เม็ดเชื้อเพลิงโดยรอบ สร้างแรงปฏิกิริยากับเชื้อเพลิงส่วนที่เหลือ กระบวนการนี้ยังออกแบบมาเพื่อสร้างคลื่นกระแทก (shock wave) กลับสู่เม็ดเชื้อเพลิง บีบอัดและให้ความร้อนที่จุดศูนย์กลางเชื้อเพลิง จนเกิดปฏิกิริยาฟิวชัน ในเวลาน้อยกว่ามิลลิวินาที
Magnetic confinement fusion (MCF)
Magnetic confinement fusion (MCF)
เป็นการใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าในการให้ความร้อนและความดันบีบอัดไฮโดรเจนพลาสมา (D-T) ที่อยู่ในสถานะก๊าซให้ถึงสภาวะที่สามารถเกิดปฏิกิริยาฟิวชัน การใช้สนามแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นวิธีที่เหมาะสมในการควบคุมพลาสมา เนื่องจากทำให้ไอออนที่มีประจุบวกกับอิเล็กตรอนที่มีประจุลบแยกจากกันไปตามเส้นสนามแม่เหล็ก ป้องกันไม่ให้อนุภาคสัมผัสกับผนังเครื่องปฏิกรณ์ เพราะจะเกิดการกระจายความร้อนซึ่งจะส่งผลให้อนุภาควิ่งช้าลง
สำหรับโครงสร้างสนามแม่เหล็กที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ รูปร่างแบบโดนัทหรือทรงห่วงยาง (Torus) โดยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจะมีลักษณะโค้งเป็นวงปิด เพื่อสร้างการเก็บกักพลาสมาที่เหมาะสม จากภาพสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแนว Toroidal (Toroidal magnetic field) ที่เกิดจากแกนเหล็ก Toroidal field coils จะซ้อนทับกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ตั้งฉากในแนว Poloidal (Poloidal magnetic field) ที่เกิดจากแกนเหล็ก Outer poloidal field coils ผลลัพธ์คือ ได้สนามแม่เหล็กตามเส้นทางเกลียว (Helical magnetic field) ที่ใช้กักเก็บและควบคุมพลาสมา
การควบคุมสนามแม่เหล็กแบบ Tokamak
Credit: Princeton University[4]
การควบคุมสนามแม่เหล็กแบบ Stellarator
เครื่องปฏิกรณ์ stellarator แตกต่างจาก tokamak ตรงที่สนามแม่เหล็กไฟฟ้าเกิดจากชุดของแกนเหล็กรูปเกลียวที่ไม่สมมาตร (แกนสีฟ้า) ซึ่งจะสร้างเส้นสนามแม่เหล็กแนวเกลียว (helical / twisted magnetic fieldlines) ได้โดยตรง เครื่องปฏิกรณ์ stellarator จึงไม่ต้องใช้กระแสไฟฟ้า toroidal ในพลาสมาเพื่อเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็ก ใช้เพียงแกนเหล็กภายนอกเพื่อสร้างสนามแม่เหล็กให้บิดตามแนวเกลียวของเครื่องปฎิกรณ์รูปโดนัทเพื่อควบคุมพลาสมาแทนการเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้า ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ stellarator มีข้อดีคือ สามารถทำงานในสภาวะที่เสถียรกว่า และควบคุมความเสถียรของพลาสมาได้โดยตรงโดยไม่ใช้กระแสพลาสมา ส่วนข้อจำกัดคือ รูปร่างที่ซับซ้อนทำให้การออกแบบและก่อสร้าง stellarator ทำได้ยากกว่า tokamak และเรื่องต้นทุนการวิจัยที่สูง ส่งผลให้ยังไม่มีผลการทดลองที่เด่นชัดจาก stellarator ปัจจุบันมีเครื่องปฏิกรณ์ stellarator ที่น่าสนใจ เช่น Wendelstein 7-X (W7-X) ในเมือง Greifswald ประเทศเยอรมันของสถาบัน Max Planck Institute for Plasma Physics (IPP) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิจัยถึงความเหมาะสมของเครื่องปฏิกรณ์ชนิดนี้สำหรับการผลิตไฟฟ้า
(Credit: ITER ORGANIZATION)
โครงการ International Thermonuclear Experimental Reactor (ITER)
ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกมีเครื่องปฏิกรณ์ Tokamak ในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ฟิวชัน และหนื่งในโครงการที่สำคัญคือ โครงการ International Thermonuclear Experimental Reactor (ITER) ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศสซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยเป็นเครื่องปฏิกรณ์ Tokamak ที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากการร่วมทุนของประเทศรัสเซีย อินเดีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป โดยมีแผนเริ่มดำเนินการประมาณปี ค.ศ.2025 วัตถุประสงค์ในการสร้างเพื่อพิสูจน์ความเป็นไปได้ในทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม และการวิจัยเกี่ยวกับพลังงานฟิวชัน ก่อนพัฒนาสู่การนำพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชันไปใช้ผลิตไฟฟ้าในอนาคต
ส่วนประกอบหลักของเครื่อง Tokamak ในโครงการ ITER
Central solenoid /Transformers
Magnetic field coils (poloidal)
Blanket modules
Magnetic field coils (toroidal)
Cryostat (Cooling equipment)
Vacuum vessel
Neutral beam injector (heating system)
Divertors
หลักการทำงาน ของ ITER Tokamak
เริ่มต้นกระบวนการโดยดูดอากาศและสิ่งสกปรกออกจากห้องสุญญากาศ (vacuum chamber) จากนั้นระบบแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic field coils) ที่ใช้ในการบีบอัดและควบคุมพลาสมาเริ่มทำงานและนำเชื้อเพลิง (ก๊าซไฮโดรเจนพลาสมา D-T) เข้าสู่ช่องสุญญากาศ (vacuum vessel) เมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่าน vacuum vessel ก๊าซจะแตกตัวด้วยไฟฟ้ากลายเป็นไอออนไนซ์ (อิเล็กตรอนหลุดออกจากนิวเคลียส) และกลายเป็นพลาสมา จากนั้นให้ความร้อนเสริมเพื่อให้อุณหภูมิของอนุภาคพลาสมาเพิ่มสูงขี้นถึงอุณหภูมิฟิวชัน (ระหว่าง 150 ถึง 300 ล้านองศาเซลเซียส °C) เมื่ออนุภาคพลาสมาเริ่มร้อนขึ้น ชนกัน และเอาชนะแรงผลักไฟฟ้าตามธรรมชาติได้ จึงหลอมรวมปล่อยพลังงานจำนวนมหาศาล ที่เรียกว่า ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน
การทำงานของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชันขั้นต้น
- เครื่องปฏิกรณ์ฟิวชันให้ความร้อน เข้าบีบอัดเชื้อเพลิงดิวทีเรียมและทริเทียม เพื่อสร้างพลาสมาอุณหภูมิสูง บีบอัดพลาสมาเพื่อให้เกิดปฏิกริยาฟิวชัน กำลังไฟฟ้าในการเริ่มปฏิกิริยาฟิวชันอยู่ที่ประมาณ 70 เมกะวัตต์ (MW) สำหรับโครงการ ITER
- ส่วน Blankets ที่อยู่นอกห้องสุญญากาศจะได้รับความร้อนจากปฏิกิริยาและดูดกลืนนิวตรอนพลังงานสูงจากปฏิกิริยาฟิวชัน เพื่อผลิตเชื้อเพลิงทริเทียมเพิ่มเติม
- ความร้อนเกิดขึ้นที่ผนังภายในรอบแกนเครื่องปฏิกรณ์ จะถูกถ่ายเทโดยวงจรระบายความร้อน (water-cooling loop) ไปยังเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน (heat exchanger) เพื่อผลิตไอน้ำ
- ไอน้ำจะไปขับกังหัน (turbine) เพื่อผลิตไฟฟ้า
- ไอน้ำจะควบแน่นกลับเป็นน้ำ เพื่อดูดซับความร้อนจากเครื่องปฏิกรณ์ ผ่านเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนได้มากขึ้น
1. Max Planck Institute for Plasma Physics [Online] https://www.ipp.mpg.de/15108/plasmaheizung
3. J. H. E. Proll, Trapped-particle instabilities in quasi-isodynamic stellarators [Online] Scientific Figure on ResearchGate
4. Princeton University, Hidden Symmetries and Fusion Energy [Online] https://hiddensymmetries.princeton.edu/
5. Gregory Dubus, From Plain Visualisation to Vibration Sensing: Using a Camera to Control the Flexibilities in the ITER Remote Handling Equipment (Doctoral Dissertation [Online] Scientific Figure on ResearchGate
6. ITER ORGANIZATION [Online] https://www.iter.org/newsline/-/2567