จากรายงานผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมของการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ Hinkley Point C ของสหราชอาณาจักรพบว่าในระหว่าการก่อสร้างโครงการมีประชากรกว่า 8,000 คน ที่ผ่านการฝึกอบรมในศูนย์พัฒนาทักษะสายอาชีพที่จัดตั้งขึ้น และคาดว่าจะสูงถึง 30,000 คน ตลอดอายุ รวมถึงมีการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรในช่วงอายุ 25-39 จากการย้ายถิ่นฐานเข้ามาประมาณร้อยละ 25

นาย Tom Greatrex ประธานสมาคมอุตสาหกรรมนิวเคลียร์คาดว่าในอนาคตโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ Sizewell C ที่สหราชอาณาจักรมีแผนที่จะจัดตั้งในพื้นที่ทางภาคตะวันออกของอังกฤษจะส่งผลดีเช่นเดียวกัน และยังเป็นการฟื้นฟูแรงงานด้านอุตสาหกรรมของสหราชอาณาจักรอีกด้วย

โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ Kashiwazaki-Kariwa หน่วยที่ 7 ของญี่ปุ่นได้วางแผนเตรียมการบรรจุเชื้อเพลิงนิวเคลียร์เพื่อทำการทดสอบระบบเบื้องต้นหลังจากได้รับอนุญาตจากองค์กรกำกับดูแลด้านพลังงานนิวเคลียร์ของญี่ปุ่น (NRA) โดยโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ Kashiwazaki-Kariwa หน่วยที่ 7 อยู่ระหว่างการรอพิจารณาอนุมัติการเดินเครื่องจากผู้ว่าราชการจังหวัดนีงาตะ

ในระหว่างการเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาของนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ทั้งสองประเทศได้ประกาศความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ฟิวชันเพื่อการใช้งานในเชิงพาณิชย์ โดยจะเป็นการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านทรัพยากรและสถาบันวิจัยนิวเคลียร์ฟิวชันทั้งในมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยแห่งชาติ รวมถึงภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ

ผู้นำของสหรัฐฯ และญี่ปุ่นกล่าวว่าความร่วมมือกันครั้งนี้จะช่วยนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีและการใช้งานพลังงานสะอาดยุคใหม่และเป็นการกระตุ้นการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานนำไปสู่การใช้พลังงานที่ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

จากผลการศึกษาโดยบริษัท PricewaterhouseCoopers LLC (PwC) คาดว่า การจัดตั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบ AP1000 จำนวน 6 โรง ในประเทศโปแลนด์จะก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross domestic product; GDP) ของโปแลนด์เป็นมูลค่ากว่า 30.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะเดียวกันในระหว่างเดินเครื่องโรงไฟฟ้าจะก่อให้เกิด GDP เป็นมูลค่ากว่า 9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี

โปแลนด์ได้ตัดสินใจคัดเลือกเทคโนโลยีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบ AP1000 สำหรับการจัดตั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์โรงแรกของประเทศ จำนวน 3 โรง โดยตั้งเป้าก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเดินเครื่องได้ภายในปี ค.ศ.2033

วันพุธที่ 27 มีนาคม 2567 นายทิเดช เอี่ยมสาย รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ ศ.ดร.สุพจน์ เตชวรสินสกุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการศึกษาและพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ โดยมีนายฉัตรชัย มาวงศ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการวิศวกรรมและก่อสร้างโรงไฟฟ้า กฟผ. และ ผศ.ดร.พงษ์แพทย์ เพ่งวาณิชย์ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ จุฬาฯ ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่  จ.นนทบุรี

โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ Barakah หน่วยที่ 4 ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ได้ทำการเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศพร้อมผลิตกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบฯ เตรียมพร้อมเดินเครื่องทดสอบเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเต็มกำลังก่อนเข้าสู่การเดินเครื่องในเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการ เมื่อโรงไฟฟ้าฯ ทั้ง 4 หน่วย เดินเครื่องเต็มกำลังจะสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 40 ล้านล้านหน่วยต่อปี ใช้เป็นโรงไฟฟ้าฐานขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจ และช่วยในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคอุตสาหกรรมของ UAE

แอฟริกาใต้เตรียมจัดตั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์โรงใหม่ขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์เพิ่มเติมอีก 2500 เมกะวัตต์ เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางพลังงาน รวมถึงตั้งเป้าพัฒนาเทคโนโลยีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์รุ่นใหม่แบบ Pebble Bed Modular Reactor ตามนโยบายพัฒนาเทคโนโลยีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อใช้งานในด้านอื่นๆ ภายหลังปี ค.ศ. 2030 และเป็นฐานการผลิตเชื้อพลิงนิวเคลียร์สำหรับใช้งานในเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบ High Temperature Reactor

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศของเกาหลีใต้ (Minister of Science and ICT: MSIT) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับบริษัทเอกชนด้านพลังงานนิวเคลียร์และอุตสาหกรรม 8 แห่ง เพื่อร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์รุ่นใหม่จำพวกเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูล (SMR) และเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ไม่ใช้น้ำเป็นสารหล่อเย็นในเกาหลีใต้เพื่อเตรียมแข่งขันในตลาดโลกที่ให้ความสนใจในเทคโนโลยีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์รุ่นใหม่เพิ่มขึ้น

ผู้นำประเทศและผู้แทนจากนานาชาติกว่า 32 ประเทศ ได้ประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในที่ประชุม Nuclear Energy Summit ซึ่งจัดโดยทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ในการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและการใช้งานพลังงานนิวเคลียร์เพื่อเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการผลิตพลังงานและภาคอุตสาหกรรม รวมถึงสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน ทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อความมั่นคงทางพลังงานและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

บริษัทเทคโนโลยีนิวเคลียร์ฟิวชัน Tokamak Energy ได้พัฒนาระบบตรวจวัดพลาสมาภายในเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชันด้วยเลเซอร์รุ่นใหม่ และเตรียมนำไปติดตั้งใช้งานในเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชันทดลอง ST40 โดยทาง Tokamak Energy คาดว่าระบบตรวจวัดพลาสมารุ่นใหม่นี้จะมีความแม่นยำสูงขึ้น และมีความแข็งแรงทนทานสามารถนำไปพัฒนาต่อเนื่องเพื่อการใช้งานในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟิวชันได้

Tokamak Energy เตรียมการก่อสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชันทดลองเครื่องใหม่ ST80-HTS ภายในปี ค.ศ. 2026 ก่อนที่จะพัฒนาเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชันสำหรับการผลิตไฟฟ้าเครื่องสาธิตภายในช่วงปี ค.ศ. 2030s

เยอรมันประกาศโครงการให้งบสนับสนุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ฟิวชันโดยมีเป้าหมายเพื่อทำการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชันโรงแรกในเยอรมันภายในปี ค.ศ. 2040 โดยในระยะต้นมีเป้าหมายสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี วัสดุศาสตร์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่เป็นองค์ประกอบสำหรับเตาปฏิกรณ์ และในระยะต่อมาจะมุ่งเน้นไปที่การออกแบบและพัฒนาด้านอื่นๆ เพื่อพัฒนาเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชัน

นายกรัฐมนตรีของอินเดียได้ร่วมเป็นพยานในขั้นตอนการบรรจุเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบนิวตรอนเร็วเครื่องต้นแบบ (Prototype Fast Breeder Reactor; PFBR) ของอินเดีย ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในระยะที่ 2 ของแผนการพัฒนาเทคโนโลยีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ 3 ระยะ ของอินเดีย โดยโรงไฟฟ้า PFBR จะใช้เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่ได้จากการนำเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้วของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบ PHWR มาแปรสภาพเพื่อนำกลับมาใช้งานใหม่ ซึ่งเมื่อเดินเครื่องโรงไฟฟ้า PFBR ในเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการอินเดียจะถือว่าเป็นประเทศที่ 2 ของโลก ที่เดินเครื่องโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบ Fast Breeder Reactor ในเชิงพาณิชย์ ต่อจากรัสเซีย โดยอินเดียมีเป้าหมายในระยะที่ 3 ที่จะพัฒนาเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์รุ่นใหม่ที่ใช้แร่ทอเรียม-พลูโตเนียมเป็นเชื้อเพลิง

จีนได้เริ่มเดินเครื่องระบบผลิตไอน้ำที่มีพลังงานความร้อนสูงจากพลังงานนิวเคลียร์เพื่อใช้งานในภาคอุตสาหกรรมแห่งแรกอย่างเป็นทางการ โดยระบบผลิตไอน้ำฯ จะนำไอน้ำที่มีพลังงานความร้อนสูงที่ผลิตได้ในวงจรผลิตไอน้ำของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์มาผ่านระบบแลกเปลี่ยนความร้อนแบบหลายขั้นตอนเพื่อนำพลังงานความร้อนที่ได้ไปใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ตั้งอยู่ห่างจากโรงไฟฟ้าฯ เป็นระยะทาง 23.36 กม.

ระบบผลิตไอน้ำฯ นี้คาดว่าจะสามารถผลิตไอน้ำที่มีพลังงานความร้อนสูงได้ถึง 4.8 ล้านตันต่อปี ทดแทนการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินจำนวน 4 แสนตันต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 1.07 ล้านตัน

รัฐบาลกลางแคนาดาตัดสินใจให้งบสนับสนุนในการศึกษาความเหมาะสมการจัดตั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์โครงการใหม่ของรัฐ Ontario ที่กำลังการผลิตรวม 4,800 เมกะวัตต์ โดยถือเป็นร้อยละ 25 ของกำลังการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานนิวเคลียร์ที่รัฐ Ontario ต้องการตามแผนลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในปี ค.ศ. 2050 ของรัฐ Ontario และยังเป็นการสนับสนุนความพยายามในการใช้พลังงานสะอาดที่มีความมั่นคงและความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของแคนาดา

อินเดียได้เชื่อมต่อโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ Kakrapar หน่วยที่ 4 เข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศอย่างเป็นทางการ ในขณะเดียวกันยังมีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์อีก 8 โรง กำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 6,800 เมกะวัตต์ ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในขณะนี้ อีกทั้งอินเดียยังได้เตรียมการจัดตั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์โรงใหม่เพิ่มเติมอีก 10 โรง กำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 7,000 เมกะวัตต์ ตั้งเป้าก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี ค.ศ. 2031-2032 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์โดยรวมเป็น 22,480 เมกะวัตต์

โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ Kakrapar หน่วยที่ 4 เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบ Pressurized Heavy-Water Reactor (PHWR) กำลังการผลิตไฟฟ้า 700 เมกะวัตต์ ที่ออกแบบพัฒนา ผลิตชิ้นส่วน ก่อสร้างและดำเนินการภายในประเทศอินเดียเองทั้งหมด

รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้เซ็นสัญญากับบริษัท Westinghouse Electric Company เพื่อทำการศึกษาความเหมาะสมการจัดตั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบ AP1000 จำนวน 2 โครงการ ในพื้นที่โรงไฟฟ้า Borssele ของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเนเธอร์แลนด์มีแผนที่จะก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์โรงใหม่ที่กำลังการผลิต 1000-1650 เมกะวัตต์ จำนวน 2 โรง ภายในปี ค.ศ. 2035 ตามแผนยุทธศาสตร์เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของเนเธอร์แลนด์ภายในปี ค.ศ. 2050

โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ Onagawa หน่วยที่ 2 ของญี่ปุ่นคาดว่าจะสามารถกลับมาเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าพร้อมเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบได้ภายในเดือนกันยายนนี้ โดยทางบริษัทผลิตไฟฟ้าโทโฮกุผู้เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าคาดว่าการก่อสร้างปรับปรุงโรงไฟฟ้าฯ ตามแผนที่ได้รับอนุมัติจากองค์กรกำกับดูแลด้านพลังงานนิวเคลียร์ของญี่ปุ่นจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายนนี้

ตามมาตรฐานความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ชุดใหม่ของญี่ปุ่นกำหนดให้โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ขออนุญาตกลับมาเดินเครื่องใหม่ต้องดำเนินการก่อสร้างปรับปรุงแล้วเสร็จพร้อมได้รับความเห็นชอบจากท้องถิ่นก่อนจึงจะสามารถกลับมาเดินเครื่องได้