แผนรับมือเหตุฉุกเฉิน
จากมาตราฐานของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ได้มีข้อกำหนดและคำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับแผนรับมือเหตุฉุกเฉินในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุทางรังสี (radiation emergency) สำหรับในทุกประเทศ โดยองค์ประกอบหลักในการพัฒนาประสิทธิภาพของแผนรับมือเหตุฉุกเฉินดังนี้
- (1) ความรับผิดชอบพื้นฐาน (Basie Responsibilities)
- (2) การประเมิน (threats)
- (3) การจัดตั้งการจัดการและการดำเนินการเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน
- (4) การระบุ, การแจ้งเตือน และการดำเนินการ
- (5) การดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบ (Taking mitigatory actions)
- (6) การดำเนินการป้องกันอย่างรีบด่วน (Taking urgent protective actions)
- (7) การจัดเตรียมข้อมูลและจัดพิมพ์ข้อแนะนำและข้อควรระวังแก่สาธารณชน
- (8) การป้องกันผู้ปฏิบัติงานในช่วงเกิดเหตุฉุกเฉิน (emergency workers)
- (9) การกำหนด initial phase (Assessing the initial phase)
- (10) การจัดเตรียมความพร้อมทางการแพทย์
- (11) การให้ข้อมูลแก่สาธารณชนอย่างต่อเนื่อง
- (12) การกำหนดมาตราการรับมือทางด้านการเกษตร การกำหนดมาตราการที่เกี่ยวกับการกินอาหารและการดำเนินการป้องกันในระยะที่ยาวขึ้น
- (13) การดำเนินการบรรเทาผลกระทบที่ไม่เกี่ยวข้องกับรังสี ที่เกิดจากอุบัติเหตุทางรังสี (radiation emergency) และมาตราการตอบโต้ (response)
- (14) การดำเนินปฏิบัติการฟื้นฟู (Conducting recovery operations)
- (15) ข้อกำหนดเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน (Requirements for infrastructure)
การจัดตั้งระบบการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับแผนการรับมือเหตุฉุกเฉินในช่วงระยะเวลาต่าง ๆ ของโครงการ ในการจัดตั้งพื้นฐานความปลอดภัย ( building safety infrastructure)
การจัดการเกี่ยวกับแผนรับมือเหตุฉุกเฉินถือเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยในระดับชาติการพัฒนาและการเพิ่มเติมองค์ประกอบที่สำคัญ จะนำไปสู่การมีแผนรับมือเหตุฉุกเฉินที่มั่นคง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประเทศที่มีการตัดสินใจที่จะมีแผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์
โดยขบวนการทั่วไปในการจัดตั้งโครงสร้างความปลอดภัยพื้นฐาน (safety infrastructure) ของประเทศที่จะมีแผนการดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ จะประกอบด้วย 3 เฟส โดยแต่ละเฟสจะมี milestone ควบคู่กัน โดยวิธีการพื้นฐานในการจัดตั้งมาตราการตอบโต้ต่อเหตุฉุกเฉินทางรังสี (radiation emergency) ที่โรงไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพตาม threat category I และ II ตามวิธีภายใน Refs [3,8] ดังรูปที่ 1 แสดงการจัดตั้งระบบการจัดการของแผนรับมือเหตุฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งเชื่อมโยงกับการจัดเตรียมโครงสร้างความปลอดภัย (safety infrastructure) สำหรับแผนการดำเนินการของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์
รูปที่1 แสดงแสดงการจัดตั้งระบบการจัดการของแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน
ในช่วงของเฟส 1, การประเมินระดับความพร้อมตามข้อกำหนดของการมีแผนรับมือเหตุฉุกเฉินอย่างมีประสิทธภาพ ต้องมีการถ่ายทอดไปยังผู้ทำการตัดสินใจในระดับชาติ (national decision makers) โดยพิจารณาถึงประสิทธิภาพในการเตรียมพร้อมและการตอบโต้ต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินที่มีอยู่ (เช่น แผนกการตอบโต้ต่อเหตุฉุกเฉินทางรังสี)
ในช่วงของเฟส 2, ภายหลังจากทำการตัดสินใจที่จะดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ จะต้องมีการจัดตั้งข้อกำหนดด้านกฎหมายและข้อกำหนดทางด้านความปลอดภัย (safety requirements) ที่จำเป็นเพื่อรองรับกรณีเกิด threat category I และ II
ในช่วงของเฟส 3, ก่อนที่จะทำการดำเนินงานโรงไฟฟ้า จะต้องมีการพัฒนาความสามารถในการตอบโต้ต่อเหตุฉุกเฉินทางรังสี (radiation emergency) ที่โรงไฟฟ้าของ threat category I และ II ที่สอดคล้องกับข้อกำหนดในระดับสากล (international requirements)
ขั้นตอนที่สำคัญในการจัดตั้งแผนรับมือเหตุฉุกเฉินในช่วงเฟสต่างๆ ในการจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยสำหรับการดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ คือ
1.) การประเมินระดับความพร้อมตามข้อกำหนดของแผนรับมือเหตุฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ
2.) ความพร้อมในการเริ่มต้นในการจัดตั้งหรือขยายความสามารถเกี่ยวกับแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน
3.) การจัดเตรียมเกี่ยวกับข้อกำหนดทางด้านความปลอดภัยเพื่อรองรับ threat category I และ II
4.) การเตรียมความพร้อมในการเริ่มต้นที่จะพัฒนาแผนรับมือเหตุฉุกเฉินสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์โรงแรก
5.) การเตรียมการเกี่ยวกับแผนการแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน ทั้งภายในและภายนอกพื้นที่ ของโรงไฟฟ้าสำหรับ threat category I และ II
6.) ความพร้อมในการรับมือต่อ threat category I และ II
โครงสร้างในการเตรียมความพร้อมและการตอบโต้ต่อเหตุฉุกเฉินทางรังสีที่โรงไฟฟ้าสำหรับ threat category I และ II จำเป็นที่จะต้องเสร็จสมบูรณ์ก่อนที่จะมีการจัดส่งเชื้อเพลิงในครั้งแรก (first fuel delivery) ให้แก่โรงไฟฟ้าก่อนที่จะทำการดำเนินงานและจะต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดสากลสำหรับประเทศที่มีการเดินเครื่องโรงไฟฟ้า
ในช่วงของเฟส 1 ก่อนที่จะมีการตัดสินใจในการดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์นั้น รัฐบาลควรที่จะมีการดำเนินการต่อไปนี้ คือ
- รัฐบาลควรที่จะแสดงให้เห็นถึงความตระหนักในความจำเป็นในการจัดเตรียมแผนฉุกเฉินตั้งแต่ในระยะแรก
- รัฐบาลควรที่จะทำการระบุองค์กรต่างๆ (institutions) และการจัดการในการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนต่อแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน
ในช่วงของเฟสที่ 2 การจัดเตรียมแผนการในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ภายหลังจากที่ทำการตัดสินใจที่จะดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ซึ่งในช่วงของเฟส 2 นี้ รัฐบาลควรที่จะมีการดำเนินการต่อไปนี้คือ
- รัฐบาลควรที่จะทำการระบุองค์กรในระดับชาติ (national institutions) ซึ่งมีหน้าที่ต่อแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน
- รัฐบาลควรทำการระบุขั้นตอนของแผนรับมือเหตุฉุกเฉินบนพื้นฐานของความเป็นไปได้รวมถึงความรุนแรงของอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้
- รัฐบาลควรจะเริ่มมีการดำเนินการรูปแบบใหม่เพื่อทำให้พื้นฐานของแผนรับมือเหตุฉุกเฉินเกิดความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
- องค์กรกำกับดูแลควรที่จะทำการพัฒนาข้อกำหนดพื้นฐาน (basic regulations) ที่เกี่ยวกับแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน
- องค์กรที่จะทำหน้าที่ดำเนินการในโรงไฟฟ้าควรที่จะเริ่มมีการพัฒนาแผนรับมือเหตุฉุกเฉินสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์
ในช่วงของเฟสที่ 3 รัฐบาลควรที่จะมีการดำเนินการต่อไปนี้คือ
- องค์กรกำกับดูแลควรที่จะมีการกำหนดรายละเอียดของข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน
- องค์กรที่ทำหน้าที่ดำเนินการในโรงไฟฟ้า ควรที่จะมีการพัฒนาแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน (แผนการและขั้นตอนสำหรับโรงไฟฟ้า) และควรมีการจัดเตรียมที่สอดคล้องกับ safety analysis report
- รัฐบาลและองค์กรกำกับดูแลควรมีการพัฒนาและสามารถนำไปปฏิบัติเกี่ยวกับแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน ทั้งในระดับท้องถิ่น, ระดับชาติและในระดับสากล
- รัฐบาลและองค์กรกำกับดูแลควรมีการจัดการเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างแผนรับมือเหตุฉุกเฉินของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์กับแผนการขององค์กรในระดับชาติที่เกี่ยวข้อง
- องค์กรกำกับดูแลควรทำการทบทวนและการประเมินเกี่ยวกับแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน, แผนการต่างๆ และขั้นตอนต่างๆ สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ และควรมีการตรวจสอบให้ถูกต้อง (verify) ให้สอดคล้องกับข้อกำหนด
- รัฐบาลและองค์กรกำกับดูแลรวมถึงองค์กรที่ทำหน้าที่ดำเนินการในโรงไฟฟ้า (operating organization) ควรมีการแสดงถึงประสิทธิภาพเกี่ยวกับแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน โดยทำการฝึกซ้อม (exercise) ที่เหมาะสมซึ่งรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น (local authorities) และประชาชนในท้องถิ่น (local communities)